เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราแสวงหากันน่ะ ทุกคนเกิดมาแล้วทำบุญกุศลมหาศาลเลย ทำไมทุกข์ขนาดนี้ ความทุกข์คือความบกพร่องของใจนะ ถ้าใจเราไม่บกพร่องขนาดนั้น เรามีสติปัญญาของเรา

ดูสิ ดูสัตว์เห็นไหม เวลามันตกทุกข์ได้ยาก มันก็ตกทุกข์ได้ยากของมัน ดูเวลาภัยแล้งมา เมืองจีนนี่เวลามีภัยแล้งขึ้นมานี่ พวกสัตว์เลี้ยงตายเป็นแพเลย มันไม่มีจะกิน เพราะอะไร มันไม่มีหญ้า ไม่มีอาหารของมัน แล้วใครจะไปช่วยเหลือมันได้ นี่น่ะเวลาธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

แต่เราเป็นมนุษย์ มนุษย์เรานี่มีปัญญา สิ่งใดขาดตกบกพร่องเราก็แสวงหากัน เราก็เจือจานกัน ที่ไหนมีภัยพิบัติ เราจะช่วยเหลือกัน เจือจานกัน เห็นไหม ถ้าที่ไหนมีภัยพิบัติ ผู้ที่มีกำลังเขาจะช่วยเหลือเลย เพราะเห็นแล้วมันมีความสงสาร นี่ค่าของน้ำใจ สิ่งที่ค่าของน้ำใจ เงินทองเราโอนให้กันได้ เราช่วยเหลือเจือจานกันได้ อันนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราขาดแคลนนะ

แต่เวลาหัวใจของเรานี่ เวลามันตกทุกข์ได้ยากขึ้นมานี่ สมบัติพัสถานมหาศาลเลย แต่ทำไมมันมีความทุกข์ล่ะ ความทุกข์อันนั้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นความทุกข์ใจใช่ไหม เวลาธรรมะของเราจึงเป็นอาหารของใจไง บุญกุศลเราไม่ต้องแบกต้องหาม เวลาทางโลกเขาวัดกันทางวิชาการเห็นไหม การศึกษาความรู้ไม่ต้องแบกไม่ต้องหาม มันเป็นความคิดนะ เป็นความคิดขึ้นมา จิตมันต้องแบกต้องหาม เป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมา มันจำอะไรไม่ได้เลย

แต่เวลาเป็นบุญกุศลนี่ เป็นอัลไซเมอร์หรือไม่เป็นอัลไซเมอร์ไม่เกี่ยว เพราะอะไร มันเป็นบุญกุศล มันเป็นบารมีของใจ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เราอุตส่าห์เสียสละกัน เราขวนขวายกัน ขวนขวายเพื่ออะไร ขวนขวายเพราะเรารักตัวเราไง เรารักตัวเรา เห็นไหม

มีคนถามว่า จิตเป็นเราไหม แล้วตัวเราเป็นเราไหม ถ้าเรารักตัวของเรา การกระทำมาจากไหนล่ะ มันมาจากเจตนา มาจากความตั้งใจของเรา ถ้ามีความตั้งใจของเรา ความคิดมันมาจากไหน ความคิดมาจากภวาสวะ จากภพ แล้วผลมันตกลงที่ไหน ผลมันตกลงที่นั่น แต่เวลาเราทำบุญกุศลแล้วทำไมเราทุกข์เรายากล่ะ เราทุกข์เรายากเป็นสภาคกรรม

พ่อ แม่ ลูก ในชาติในวงศ์ตระกูลของเรา เวลาเราพูดกันในบ้านนี่ เราคุยกันรู้เรื่องไหม ถ้าเวลาคุยเรื่องอารมณ์ความเห็นตรงกัน มันก็คุยกันลงตัว แต่ถ้าความเห็นไม่ตรงกันมันก็ขัดแย้งกันเห็นไหม นี่ สภาคกรรม กรรมร่วมกันมา ฉะนั้นเวลาเราอยู่กับสังคม ใครบ้างที่สังคมจะยอมรับได้ง่ายๆ เห็นไหม แต่ถ้ามีบารมีธรรม กลิ่นของศีล..หอมทวนลม

ดูสิ ดูอย่างในหลวงของเราเห็นไหม ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็รัก เพราะท่านทำความดีของท่านมาตั้งแต่ท่านอายุน้อยๆ ทำดีน่ะความดีอันนั้นมันคุ้มครอง ใครจะจาบจ้วง ใครจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ จริงอยู่เวลาคิดทางวิทยาศาสตร์ คิดอย่างความเสมอภาคเขาบอก ก็คนเหมือนกัน

แต่คุณธรรมล่ะ ตอนเกิดมามันไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกันเห็นไหม คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด ไม่ใช่ดีเพราะชาติตระกูล คนเราดีเพราะการกระทำ คนเราดีเพราะความประพฤติ ท่านประพฤติของท่านมาอย่างนั้นล่ะ นั่นล่ะบารมีธรรมของท่าน ความดีของท่านคุ้มครองท่าน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ของเราเห็นไหม เราทำคุณงามความดี อาหารของกายอาหารของใจ อาหารของใจเรามีอำนาจวาสนาบารมี เราทำของเรา แต่เราทำของเราน่ะ เราก็บ่นทุกข์บ่นยาก บ่นทุกข์บ่นยากเพราะเราโง่ เราโง่เพราะอะไร เพราะเราหวังพึ่งข้างนอกไง เราหวังพึ่งสมบัติพัสถาน เราหวังพึ่งสิ่งต่างๆ ที่พึ่งได้นะ

ดูสิ ร่างกายของเราเห็นไหม เราก็บอกว่าร่างกายของเรา มันต้องอยู่กับเราตลอดไป.. ตลอดไป มันก็อาจได้ชั่วอายุขัยนะ แต่จิตใจนี่มันก็ต้องเป็นของมันอีก จิตใจมันต้องมีโอกาสไปของมันอีก จิตใจนี่ใครจะดูแลมัน นี่ไง ที่เขาว่ารักตน รักตน รักตนที่ไหน เรารักตน รักที่นี่ แต่เราไม่ได้ดูแลใจของเรา

ใจของเรา เวลามันดิ้นรนขึ้นมานี่ สิ่งนั้นน่ะกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นล่ะ ถ้าสิ่งนั้นเป็นตัณหาความทะยานอยาก เราทำบุญกุศลขึ้นมาเห็นไหม มันเปิดกว้าง การเปิดกว้าง การเสียสละ มันจะเห็นใจของเรา เวลาว่าทำบุญกุศลแล้วมีความชื่นใจไหม คนทำบุญกุศลบ่อยๆ ครั้ง ทำใหม่ๆ มันจะมีความสุขความชื่นใจนะ ทำแล้วมันจะรู้สึกเฉยๆ

พอมันเฉยๆ เห็นไหม นี่หยาบ ละเอียด ใหม่ๆ มันของใหม่ๆ มันเจอใหม่ๆ มันทำแล้วมีความดูดดื่ม มีความชื่นใจ แต่ทำไป..ทำไป..เห็นไหม พอทำไปมันก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ แต่จิตใจมันคุ้นชิน

พอคุ้นชิน นี่ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าทำความปกติของใจล่ะ ถ้าใจปกติขึ้นมา ถ้าเราเกิดภาวนาขึ้นมาล่ะ เวลาภาวนาจิตมันสงบขึ้นมานะ พอจิตสงบขึ้นมานี่ มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ มันจะฝังใจ สิ่งที่สัมผัสของใจมันฝังใจ แล้วเราอยากได้ความรู้สึกอย่างนี้ เราอยากได้มีความสุขอย่างนี้ เราพยายามขวนขวายของเรา พยายามค้นคว้าของเรา เราต้องการความสุขอย่างนี้ แล้วความสุขอย่างนี้มันมาจากไหนล่ะ

ความสุขอย่างนี้ถ้าชำนาญในวสี ถ้าเราชำนาญในเหตุ เราสร้างได้ตลอดเวลา เราทำของเราได้ตลอดเวลา ความเป็นสมาธินั้นจะไม่เสื่อมเลย แต่ที่มันเสื่อมไป มันเป็นเพราะเราไม่ชำนาญในวสี ผลของจิตสงบ ผลพอได้สัมผัสของใจนี่ สันทิฏฐิโก จิตสัมผัส.. จิตสัมผัส

สมาธิไม่ใช่จิต สมาธิเกิดจากจิต สติเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต

จิตเป็นพลังงานความรู้สึกเฉยๆ เรามีความรู้สึกไหม เรามีตัวจิตไหม แล้วความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันซ้อนมาใช่ไหม ความคิดมันมาจากจิต แต่ความสัมผัสของจิต จิตเวลาสัมผัสความสงบเห็นไหม

แต่นี่จิตมันไม่สงบ เพราะอะไร.. จิตมันพร่อง พอจิตมันพร่อง จิตมันดิ้นรน จิตมันแสวงหา พอจิตมันแสวงหา มันก็เสวยอารมณ์ เสวยความคิด พอมันเสวยความคิด คิดสิ่งใด มันก็ทุกข์ยาก มันก็ดิ้นรนในหัวใจมัน ดิ้นรนมันตลอดไป นี่บุญไม่ต้องแบกต้องหามนะ แต่เราชำนาญในการกระทำของเรา

เราตั้งสติของเราได้ เรามีสติของเรา เราควบคุมใจของเรา มันจะโดนแรงเสียดสี แรงเสียดทานขนาดไหน แรงเสียดทานไง เวลาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจของพระอรหันต์ เหมือนเสา ๘ ศอกฝังดินไป ๔ ศอก ลมพัดจะเกิดพายุฝน แดด ลมขนาดไหนมันไม่สั่นสะเทือน ไม่หวั่นไหวไปกับเขา นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้าไม่มีปัญญาของมัน ชำนาญในวสีเห็นไหม

ลมปากของคนนะ ลมปากของคนนี่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา สิ่งนั้นมันเป็นธรรมชาติของมัน เป็นธรรมะเก่าแก่ไง สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว แต่เป็นจริงหรือเปล่า เราเป็นจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันหวั่นไหวไปกับสิ่งใด มันเป็นความจริงของเรา แล้วความจริงมันเกิดมาจากไหน ความจริงน่ะถ้ามันมีเหตุมีผล เราเองน่ะเราตกใจ

ดูสิ เวลาพวกลักเล็กขโมยน้อยเขาเจอตำรวจ เขาจะมีปฏิกิริยาทันทีเลย เพราะอะไร เพราะเขาทำความผิดของเขา มันรู้อยู่แก่ใจไง แต่ถ้าเราไม่มีความผิด ตำรวจก็คือตำรวจ ตำรวจดี เข้ามาดูแลความปลอดภัยให้เรา เข้ามาคุ้มครองเราด้วย ถ้าเราไม่มีความผิด ไม่มีความคิดในใจ เราเห็นตำรวจเรากลับพอใจ ให้เข้ามาอำนวยความสะดวกให้เรา แต่ถ้าเรามีความผิดพลาด เราจะมีความตื่นเต้นไปหมดเลย

ใจก็เหมือนกัน ถ้าใจมันมีของมัน มันไม่ได้สัมผัสของมัน มันรักษาของมันไม่ได้ สิ่งนี้เราไม่กล้าแสดงออก เพราะการแสดงออกไปมันไม่มีหลักฐาน มันไม่มีองค์ความรู้ที่เราจะสามารถแสดงได้ มันก็เลยกลายเป็นเหมือนกับผู้ที่ทำความผิดเจอตำรวจ

แต่ถ้าเรามีองค์ความรู้ของเรา เรามีทุกอย่างของเรา เราสัมผัสของเราได้ สมาธิเป็นสมาธินะ สิ่งที่เป็นสมาธิ มันเป็นบุญกุศล ฉะนั้นคำว่าบุญกุศลมันอยู่ที่ใจ บุญกุศลมันไปกับใจ ใจนี่มันพาไป สิ่งต่างๆ มันพาไป เวลาทำบุญกุศลไปแล้ว สิ่งนั้นเป็นทิพย์.. เป็นทิพย์ ใครจะมาปล้นชิงไปไม่ได้เลย แต่สมบัติพัสถาน ปล้นชิงกันได้นะ

สิ่งนี้ปล้นชิงกันไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นนามธรรม ความคิดก็เป็นนามธรรม จิตก็เป็นนามธรรม แต่! แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันเป็นรูปธรรม รูปธรรมเพราะอะไร เพราะสติปัญญามันจับต้องได้ มันรู้ได้ มันควบคุมได้ มันแก้ไขได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงเห็นไหม เปลี่ยนแปลง.. มันลอกคราบ ความลอกคราบ งูมันลอกคราบของมัน มันลอกคราบมันสลัดทิ้งไปเลย แต่นี่เราลอกนี่เป็นการคายออก การคายความยึดมั่นถือมั่น การคายความเห็นผิด

แล้วเราจะเข้าใจเลยว่า เราจะบ่นปากเปียกปากแฉะ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบุญไม่ได้บุญล่ะ เราจะรู้ของมันเลยว่า สิ่งนั้นมันเป็นวัตถุ มันเป็นเรื่องสังคม มันเป็นเรื่องของโลกธรรม ๘ แต่หัวใจของเรา.. หัวใจของเราเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์องค์เดียว เป็นศาสดา สั่งสอนทั้ง เทวดา พรหม ต่าง ๆ สั่งสอนมนุษย์ได้หมดเลย ได้หมดเพราะอะไร เพราะจิตหนึ่ง!! จิตนี้มันมีของมัน เวลาเราหมดอายุขัยนี้ จิตมันก็ไปเกิดอีก จิตหนึ่งเหมือนกัน เทวดาก็มีจิต พรหมก็มีจิต จิตเหมือนกันทั้งนั้น

ถ้าจิตเหมือนกัน ถ้าเราแก้ไขของเราแล้ว เรารักษาของเราแล้วเห็นไหม จากดวงใจดวงหนึ่งสู่ดวงใจดวงหนึ่ง มาจากจิตหนึ่งสู่จิตหนึ่ง ถ้าจิตนี้มันแก้ไขของมัน แล้ววิธีการแก้ไขล่ะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ อยู่ที่ “อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค”

ทุกข์ คือ ความสัมผัสของใจ ใจมีตัวตนของมัน มันเดือดร้อนของมัน มันก็สัมผัสของมัน ตัณหาความทะยานอยาก

สมุทัย ที่มันไม่พอใจ มันผลัก มันไส มันต้องการ มันปรารถนา มันดิ้นรนของมัน สมุทัยนี่ควรละ

นิโรธ คือ การดับทุกข์ด้วยมรรค

มรรคญาณ นี่ อริยสัจอันนี้ สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรม

ถ้าเป็นสัจธรรมมันต้องมีสถานที่ของมัน มันมีการกระทำของมัน ถ้าทำของมัน ถ้าเราทำตรงนี้ได้นี่ มันจะพ้นจากดีและชั่ว พอพ้นจากดีและชั่ว สิ่งที่โลกธรรม ๘ น่ะ โลกธรรม ๘ มันก็มีสรรเสริญนินทา มันก็ดีกับชั่วนั่นล่ะ มันดีกับชั่วของมัน มันของคู่กันมาตลอด แต่ใจของเราถ้าเราแก้ไขของเราได้ มันไม่ต้องแบกหามนะ บุญกุศลอันนี้

บุญกุศลอันนี้ ใช่! เราอยู่กับโลก พระเช้าขึ้นมาก็ต้องบิณฑบาต มันก็ต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตนี้ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย อาหาร ๔ ในวัฏฏะ แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหม เขาก็ยังต้องมีอาหารของเขา อาหารในวัฏฏะ การดำรงชีวิตเห็นไหม

แต่เวลาจิตของมันมีธรรมดำรงชีวิต มีสัจธรรมดำรงชีวิตของมัน ฉะนั้นการดำรงชีวิตของมัน มันอยู่ด้วยตัวของมันเองได้ ตัวของสัจธรรม แต่ถ้าเราเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันเกิดจากบุญนะ เวลาเราเป็นเทวดานี่ เพราะเราทำบุญกุศล ไปเกิดเป็นทิพย์ สิ่งใดเป็นทิพย์ มันอิ่มทิพย์

อิ่มทิพย์! คำว่าอิ่มทิพย์เสวยด้วยทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติเป็นเสวยของเขา อันนั้นมันเกิดจากอะไร มันเกิดจากบุญกุศล แต่มันมีการใช้จ่าย มันมีวาระของมัน เพราะมันหมดอายุขัยของมัน มันก็เวียนไปตามวัฏฏะ เหตุผลของวัฏฏะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ ดีมันก็อิ่มเต็ม ชั่วมันก็อิ่มเต็ม มันจะมาสิงกันอีกไม่ได้ เพราะมันสำรอกคายออกหมดแล้ว มันเป็นสัจธรรม สัจธรรมมันเป็นความจริง สิ่งนี้เป็นความจริง บุญกุศลที่เราแสวงหากันมันเป็นพื้นฐาน ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว นี่ทำบุญกุศลเพราะอะไร เพราะเราเชื่อถือศรัทธา

ความว่าเชื่อถือศรัทธา เห็นไหม นี่เราเป็นเด็กเราก็อาศัยพ่อแม่ของเรา พ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดู เราเป็นสาวก สาวกะ ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราก็อาศัยศาสดาของเรา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา อาศัยครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่งที่อาศัย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีที่พึ่งที่อาศัย เราแสวงหาของเรา นี่เกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากความที่เราเคารพศรัทธาใช่ไหม เราทำบุญกุศลนี้ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียสละมาเพื่อบารมีธรรม นี่ก็เหมือนกัน เราเสียสละเพื่อใจของเรา สิ่งที่เสียสละออกไป มันมีผลสนองตอบกลับมา

พุทธศาสนามีเหตุมีผล พุทธศาสนาไม่มีอะไรสูญเปล่า ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ เพราะเราต้องมีการกระทำมาทั้งหมด ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติมีเชาว์ปัญญา เพราะเขาได้สร้างของเขามา คำว่าสร้างของเขามา เขาได้เตรียมความพร้อมของจิตของเขามา พอเตรียมความพร้อมของจิตเขามา เขาฟังสิ่งใด เขาเข้าใจ เขารู้สึก เขาแยกแยะ เขาพยายามทำคุณงามความดีของเขาได้

แต่ถ้าจิตใจของเรามันหมกมุ่นกับความโลภ ความโกรธ ความหลง มันแยกแยะไม่ได้ เพราะอะไร มันแยกแยะ มันไม่เห็นถูกเห็นผิด ถ้าเห็นถูกเห็นผิด ทุกคนรู้ว่าถูกว่าผิด แต่! แต่เพราะว่ามันทนสิ่งเร้า ทนกิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่ได้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ ฝืนมัน ๆ ไม่ทำ ๆ สิ่งใดที่เป็นความผิดไม่ทำมัน ๆ ฝืนไปเรื่อย ๆ ฝืนจนมันเป็นจริต มันเป็นความเคยชิน เรารักษาได้

ทางโลกบอกว่าสิ่งแวดล้อมมีผลตอบสนองกับชีวิตนี้มาก มันก็มีความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา สิ่งแวดล้อมก็คือสิ่งแวดล้อมนะ คนดีอยู่ที่ไหนมันก็คือดี ยิ่งวิกฤติขนาดไหนเขาก็ยิ่งพยายามจะฝืนทนของเขา แต่ถ้าคนอ่อนแอ สภาวะแวดล้อมนั้นชักนำไปหมดเลย นี่บารมีของธรรม

การเสียสละ การสร้างบารมีธรรมขึ้นมานี่ มันจะมีจุดยืนของมัน จิตจะเข้มแข็งของมันตรงนี้ สิ่งแวดล้อมกระทบขนาดไหน เราก็ยืนโต้กับสิ่งแวดล้อม เราจะฝืนสิ่งแวดล้อมนั้นไปได้

การกระทำบุญกุศลจะมีความสำคัญ ถ้ามันมีบุญกุศลเป็นที่พึ่ง เรายังเกิดยังตายอยู่เห็นไหม ถ้ามีบุญกุศลเป็นที่พึ่งนี่ เราจะมีที่พึ่งที่อาศัย แต่ถ้ามันไม่มีบุญกุศลเป็นที่พึ่ง เวลาเราทุกข์เรายาก เราต้องปากกัดตีนถีบของเราไป ต้องปากกัดตีนถีบ แล้วเราปากกัดตีนถีบแล้ว มันจะทนกับสิ่งเร้านั้นไหวไหม

ถ้าทนสิ่งเร้านั้นไม่ไหว เราก็ทำสิ่งนั้นไป ถ้าทำสิ่งนั้นไปบาปกรรมก็เกิดขึ้น กรรมเก่ากรรมใหม่ เวลาเราทำบุญกุศล เราบอกอยากให้ตอบสนองเรา บุญกุศลมันตอบสนองเราอยู่ตลอดเวลานะ ตอบสนองที่ว่า ชีวิตเรานี่เรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดดีกว่าความเรียบง่าย ชีวิตเราต้องการสิ่งใดๆ แสง สี เสียงต่างๆ มันเกิดจากการสร้างสรรค์ขึ้นมา แต่ความเรียบง่าย ความปกติ..

ครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเข้าป่า เข้าเขาไป เพราะเหตุใด นั่นคือสัจธรรม นั่นเป็นความจริง ความจริงเป็นอย่างนั้น พระอาทิตย์ขึ้นมันก็สว่าง พระอาทิตย์ตกมันก็มืด แล้วอยู่ในป่าในเขา มันก็จะเป็นสภาวะแบบนั้น มันไม่มีแสง สี เสียง เข้ามาเป็นสิ่งเร้ากับเรา ชีวิตที่เรียบง่ายนี่เป็นความจริง ถ้าจิตเราเป็นปกติ จิตเราจะเรียบง่าย ถ้าจิตจะเรียบง่ายขึ้นมา บุญกุศลมันเกิดที่นี่ไง

เวลาบอกว่าวิมุตติสุข สุขที่พ้นจากสุขเวทนามันเป็นอย่างใด มันเรียบง่ายขนาดไหน มันจะไม่มีสิ่งใด สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาและขาดแคลนไป มันปกติของมัน มันเป็นความสุขของมันอย่างนั้น แต่เราต้องการความสุขที่เราสัมผัส เวลาสัมผัสมันถึงเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา สิ่งที่ทุกขเวทนามันเป็นทุกข์ในเวทนา สุข ทุกข์ ในเวทนา ไม่ใช่ สุข ทุกข์ ในตัวจริงของมัน

นี่ไง เวลาเราแสวงหา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจืดสนิท.. จืดสนิท มีผลประโยชน์ น้ำฝน น้ำต่าง ๆ นี่จืดสนิท แต่น้ำที่มีส่วนผสมต่างๆ มันมีรสมีชาติ ของมัน แต่มันไม่เป็นความจริง มันให้โทษกับร่างกายของเรา นี่ก็นะ ความสุข ความสุขอันเรียบง่าย ชีวิตอันเรียบง่าย ความวิมุตติสุขในหัวใจ เราปรารถนา เราแสวงหาสิ่งนี้

ถ้าเราแสวงหาสิ่งนี้ เราไม่ต้องไปแบกไปหาม สิ่งที่แบกหามเป็นเรื่องของโลก แต่สิ่งที่เป็นใจเราเสียสละ เราคายออก ๆ ยิ่งคายออกเท่าไร จิตใจนี่ยิ่งมั่นคงของมันขนาดนั้น ถ้าจิตใจมั่นคง ชีวิตเราจะมั่นคงในชีวิต เราเจอสิ่งใดเราจะไม่ไหลตามเขาไป บุญกุศลเป็นบุญกุศล บาปอกุศลเป็นบาปอกุศล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือการกระทำของเรานะ

ฉะนั้นเราต้องตั้งสติปัญญาของเรา สิ่งที่เราแสวงหา ถ้ามันเป็นบุญกุศลของเรา มันจะได้ตามนั้น แต่สิ่งที่ไม่เป็นบุญกุศลของเรา เราไปแสวงหาแล้วมันไม่ได้ตามนั้น เราก็ทำของเรา ทำของเราหมายถึงว่าความเพียร เราต้องมีความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ

คนเรามีความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ ถ้ามันมีบุญกุศล มีโอกาสวาสนา มันจะประสบความสำเร็จตามหน้าที่การงาน แต่ถ้ามันไม่มีบุญกุศล เราก็ทำของเรา เราต้องทำของเรา เพราะการทำนี่เป็นโอกาส มันจะได้หรือไม่ได้นะ นั้นมันเป็นผล สิ่งที่บุญกรรม จังหวะและโอกาสที่มันจะตอบสนอง ฉะนั้นเราถึงจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจไปกับสิ่งใด

เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เวลาปฏิบัติ เวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราจะทุกข์ เราจะน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราทำของเรา เรามีแต่ความทุกข์ความยากของเรา ทำไมคนอื่นเขามีความสุข เราคาดหมายทั้งนั้น นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ กรรมคือการกระทำของเรา เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะเราทำของเราไม่สมบูรณ์ของเรา

เรากำหนดพุทโธ จิตมันไม่เป็นกลาง มันก็ลงไม่ได้ เราเดินจงกรม เราคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่าน จิตมันก็ลงไม่ได้ ถ้าจิตมันลงมันได้ มันอยู่ในกำมือเราทั้งนั้น แต่มันเป็นความชำนาญ ชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าออก เราจะรักษาใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

เราไม่รักษาใจของเราเพื่อโลก เรารักษาใจของเราเพื่อใจของเรา ในเมื่อเรารักตนเอง เราต้องรักษาเรา รักษาเราเพื่อประโยชน์กับเรา จิตนี้ไม่เคยตาย พอจิตนี้ไม่เคยตาย มันจะเห็นสภาวะของมัน ยิ่งผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงที่สุด ต้องทำลายแม้แต่ตัวจิต

พอทำลายตัวจิต จิตเป็นภวาสวะ จิตเป็นภพ ทำลายถึงที่สุด ไอ้ตัวเกิดตัวตาย ไอ้ตัวเสวยภพเป็นเรานี่อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพอถึงตัวจิตตัวตาย ตัวภวาสวะ ตัวภพ แล้วเราทำลายแล้ว พอทำลายแล้วมันเหลืออะไรล่ะ ยิ่งทำลายแล้วมันยิ่งมี การเสียสละมันยิ่งได้ ยิ่งเสียสละออกไปได้ที่ไหน ได้ที่เราเสียสละ

ดูสิ เวลาเกิดภัยพิบัติ เราเป็นผู้รับนี่ เราทุกข์ยากขนาดไหน แต่เราเป็นผู้ให้ เราไม่เป็นอย่างนั้น เราให้เขาเพื่อเขาทุกข์ยาก เราเสียสละ จิตใจของเรามันมองกลับมาสิ ผู้รับ รับด้วยความทุกข์ยากนะ เพราะเขามีความจำเป็นของเขา เขาก็มีของเขาทั้งนั้นล่ะ สมบัติของเขามีมากกว่านี้ก็ได้ในธนาคาร

แต่คราววิกฤติ มันไม่มีสิ่งใดที่จะตอบสนองชีวิตของเขาได้ ในความจำเป็นเขาได้รับสิ่งนั้น เขาจะมีความชื่นใจของเขา แต่เราไม่เป็นทุกข์ยากขนาดนั้น ผู้ให้ ให้เพราะว่าเราเสียสละได้ เรามีโอกาสเสียสละได้ ผู้ให้ ให้ด้วยความสุข ผู้รับมีความทุกข์นะ แต่รับขนาดไหน ทุกข์ขนาดไหน ถ้ารักษาใจของเขาก็เพื่อประโยชน์ของเขา

นี่การกระทำของใจ สิ่งที่ทางใจมันต้องแบกต้องหาม บุญกุศลไม่ต้องแบกต้องหาม เราไม่เอาวัตถุ วัตถุมันเป็นการให้แค่ปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ความจริงคือใจของเราที่ไม่เคยตาย มันจะสร้างบารมีธรรมของมัน เพื่อประโยชน์กับมัน เอวัง